รักคือการให้อภัย

>> วีอาร์ไทย.คอม > กำลังใจ  ::

Love is to forgive, not to forget นี่คือคำพูดที่พระเอก Woody Harrelson พูดกับนางเอก Demi Moore ในหนังเรื่อง Indecent proposal ซึ่งเป็นคำพูดที่ประทับใจผมจนถึงทุกวันนี้ และผมจะนึกถึงทุกครั้งเวลาที่ผมมีปัญหาทะเลาะกับภรรยา มันทำให้ผมยอมง้อเธอก่อนเสมอ ไม่ว่าเธอจะถูกหรือผิด ผมคิดว่าในเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ควรจะยอมรับและยอมให้อภัยกันได้ในทุกๆ เรื่อง

ขออนุญาต copy ข้อความของคุณ 008 มาให้คนที่ยังไม่ได้อ่าน ลองอ่านดูนะครับ
มันให้ความรู้สึกที่ดีมาก สำหรับผม

”.... ผมในฐานะผู้ชายเนี่ยเข้าใจเป็นอย่างดีเลยครับ เรื่องการถูกทำร้ายความไว้เนื้อเชื่อใจมันเจ็บปวดขนาดไหน ผมเคยประสบมากับตัวเองเลยเต็มๆ กับภรรยาคนปัจจุบันของผมเนี่ยแหล่ะ หนักกว่าคุณนัก ผมก็เคยถามเธอนะครับว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาหรือเปล่าเป็น การถามเล่นๆ ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะผมไม่ถือเรื่องนี้หรอก ผมโตเเมืองนอกครับเลยถือเป็นธรรมดา ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าหญิงไทยยังคงเป็นแบบสมัยก่อนหรือสมัยใหม่ เธอก็ตอบตามตรงว่าเคย และถามว่าผมจะยังรักเธอไหม ผมก็หัวเราะและตอบว่ามันเกี่ยวกับรักด้วย เรอะรักก็รักเหมือนเดิมสิ ไม่เห็นแปลกเลย ถามเล่นๆ อย่าไปซีเรียสน่า แล้วเราก็แต่งงานกัน

2 ปีผ่านมาผมก็ได้พบความจริงบางอย่างที่ทำให้ผมถึงกับต้อง ลาออกจากงานและไปบวช เลย เธอเคยทำแท้งครับ ผมเพิ่งทราบจริงๆ เธอไม่เคยบอกเลย ผมก็ไม่เคยติดใจสงสัยอะไร แม้เธอจะไม่ได้โกหกผมเหมือนอย่างที่แฟนคุณโกหก และเธอปิดบังผม ที่ผมรู้เพราะมีครั้งหนึ่งที่ผมดีใจนึกว่าเธอท้อง เลยพาไปตรวจครรภ์ หมอก็คุยเรื่อยเปื่อยว่า อ๋อยังไม่ท้องหรอก อย่างนั้นอย่างนี้ และมีประโยคหนึ่งที่ผมสะดุดคือหมอพูดว่า

”ดีแล้วครับที่สงสัยว่าจะท้องแล้วรีบพามาตรวจ เพราะมดลูกที่เคยผ่านการบำบัดพิเศษมาแล้ว หากท้องอีก อาจเป็นอันตรายเพราะเสี่ยงกับทั้งแม่และเด็กมากๆ ยังไงถ้าท้องก็รีบพามาตรวจนะครับ รับรองว่าหมอจะดูแลเป็นพิเศษเลย ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะหากแม่และเด็กได้รับการดูแลภายใต้แพทย์อย่างสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีปัญหาครับ” (หมอท่านนี้ไม่ทราบอะไรมาก่อนครับ เพราะพึ่งมาตรวจกันครั้งแรกตามคำแนะนำผู้ใหญ่ หมออาจจะเดาเอาว่าผมรู้แล้ว) ผมก็งงๆ ทีแรกนึกว่าเธออาจเคยประสบอุบัติเหตุกระเทือนต่อมดลูก หรืออาจเคยเป็นเนื้องอกแล้วผ่าตัดมา ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เลยถามภรรยาระหว่างขับรถกลับบ้านว่า ”มดลูกเคยมีปัญหาใช่ไหม” ผมถามเพราะห่วงนะครับ ไม่ได้สงสัยอะไรเลย แต่เธอตกใจทันทีและร้องไห้ออกมา ขอโทษขอโพยที่ปิดบังมาตลอดและเล่าเรื่องทั้งหมด (เธอคงนึกว่าผมรู้แล้วและมาถามเอาเรื่อง) ผมก็อึ้งเลยครับ 2 ปีที่ผ่านมานี่ผมเป็นควายหรืออย่างไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น

เธอบอกว่าสมัยเรียนเมืองนอกเธอเคยมีเพื่อชายชาวญี่ปุ่นและ อยู่ด้วยกัน (ซึ่งอันนี้ผมรู้แล้วและไม่ถือครับ) ต่อมาก็ห่างๆ กันไป เธอมารู้ตัวว่าท้องก็หลังจากเพื่อนชายคนนั้นกลับประเทศไปแล้ว เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอ Drop เรียน และย้ายเมืองเพื่อไม่ให้ใครรู้ และไปทำแท้งที่ต่างเมือง แล้วจึงกลับมาเรียนต่อ คนรอบข้างก็ไม่มีใครสงสัยเพราะเธอบอกว่าย้ายไปหาข้อมูล เพิ่มเติมเพื่อประกอบ Thesis จะมีก็แต่ครอบครัวเท่านั้นที่รู้เพราะแม่บินตามมาเฝ้าพยาบาลเธอด้วย กลับมาถึงบ้านเธอก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษถึงกับกอดแข้งกอด ขากราบเท้าอย่าให้เราแยกกัน ผมในตอนนั้นหัวมันตื้อเพราะช็อกก็ไม่ได้ยินอะไรเลยจำได้แค่ว่าตัวลอยๆ เดินไปเก็บเสื้อผ้าและขับรถออกจากบ้านไปผมไม่รู้จะไปไหนห็เลยติดต่อเพื่อนที่อยู่แถบอีสานขอพักด้วยสักระยะ เพื่อนก็ตกลงเพราะเห็นว่าผมคงมีทุกข์มาและก็ไม่ว่าไม่ถามอะไร ผมเลยจัดแจงลาออกจากงาน และไปอาศัยบ้านเพื่อนครับสักพัก ผมก็ทนไม่ได้ครับเลยไปบวช ที่วัดแถวๆ นั้น เพื่อนก็ถามว่าแล้วทางบ้านทางภรรยารู้หรือเปล่าว่าจะบวช ผมก็บอกว่ามีปัญหากันนิดหน่อยแต่ทางนั้นทราบแล้วว่าผมอยู่ที่นี่ (จริงๆ ผมไม่ได้บอกใครเลยครับ) เวลาผ่านไป ผมก็เริ่มสงบ ลง

เมียผมและครอบครัวผมคงทราบจากเพื่อนว่าผมมาบวชอยู่ที่นี่ ก็ตามมาโน้มน้าวให้กลับบ้าน แม่ก็มาขอร้อง แต่ตอนนั้นผมต้องการสงบครับผมก็ตอบว่าถึงเวลาจะกลับไปจัดการทุกอย่างเองขออย่าให้ทุกคนเป็นห่วง เมียผมเองก็เพียรอ้อนวอนจนอ่อนใจ และทำใจจึงกลับไปผมบวชเรียนอยู่เกือบปี

อยู่มาวันนึงเจ้าอาวาสก็เรียกเข้าไปคุยว่า ”เมื่อยามมีทุกข์ก็ได้มาผ่อนทุกข์ของตนเองแล้ว บัดนี้ เห็นว่าสงบลงและมีสติขึ้นมาก คุณจะเห็นควรกลับไปบรรเทาทุกข์ให้คนข้างหลังหรือไม่อาตมาไม่ได้ขับไล่เพียงแต่แนะนำ สุดแล้วแต่การตัดสินใจเถิด” ผมเองก็มีสติขึ้นจากการบวชว่าผมหลบมาคนเดียวนี่ผมปลงทุกข์ของตนแล้ว แต่คนข้างหลังคงยังมีทุกข์ ผมเลยสึกครับ พอสึกแล้วก็พักอยู่บ้านเพื่ออีก 2-3 วัน นั่งสมาธิทุกคืน เมื่อมีสติก็คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนครับว่าเธอเป็นภรรยาที่ดีของผมมาตลอดไม่เคย บกพร่องเป็นห่วงเป็นใย ช่วยเหลือ ตั้งแต่สมัยเป็นแฟนเคยดีอย่างไร แต่งแล้วก้ยังดีเหมือนเดิมทุกประการ ผมเลยกลับบ้านครับก็หวั่นๆอยู่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง และจะพร้อมกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่

เมื่อถึงบ้านและพบเธอ เธอดูซูบไปมาก ใบหน้าหมองคล้ำเธอไม่แสดงอาการอะไรนอกจากถามผมเหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้านว่า เหนื่อยไหม หิวหรือยัง จะอาบน้ำก่อนหรือทานข้าวก่อน เธอเตรียมกับข้าวไว้แล้ว (ผมมารู้ทีหลังว่าตั้งแต่ผมจากไป เธอยังคงทำกับข้าวรอผมทุกวัน เพราะเผื่อวันใดผมกลับมาจะได้มีอาหารพร้อมไม่ต้องนั่งหิวรอ) ผมน้ำตาไหลเลยครับ พูดไม่ออก คว้าเธอมากอดและขอโทษครั้งนี้

ผมลงกราบเท้าขอโทษเธอเหมือนครั้งที่เธอเคยกราบอ้อนวอนผมมาก่อน เพราะผมรู้สึกว่าผมทำร้ายของล้ำค่าของผมได้อย่างไร ผมปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว โดยผมหนีไปหาความสงบคนเดียวได้ อย่างไรผมเป็นสามีที่เห็นแก่ตัวมากๆ เธอไม่โกรธเลย ยิ้มรับผม เราต่างกอดกันร้องไห้ทั้งคืนโดยไม่พูดอะไรเลยมันสื่อกันด้วยความรู้สึกนะครับ ไม่มีคำต่อว่าจากปากเธอแม้แต่คำเดียว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา

ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 4 ปีแล้ว ตอนนี้เธอท้องแล้วครับ ผมอัลตร้าซาวด์แล้ว ผมกำลังจะมีลูกชายครับ ผมดีใจมากและทุกวันนี้ก็ภูมิใจมากที่มีศรีภรรยาคนนี้มาเป็นแม่ของเจ้าตังค์ (แอบตั้งชื่อไว้ก่อนน่ะครับ แบบว่าเห่อ) เราสองคนไม่มีใครรื้อฟื้อนเรื่องนั้นอีกเลย มีเพียงแต่ว่าทุกสัปดาห์จะไปวัดด้วยกันและทำบุญตักบาตร แผ่เมตตาให้แก่ลูกคนแรกของเธอครับ

ผมเล่ามานี่ก็เพื่ออยากให้คุณคิดได้และเข้าใจว่าหลังพายุเนี่ย ถ้าเราผ่านมันไปได้ หลังจากนั้นก็คือท้องฟ้าที่สงบและสดใลครับ ผมไม่สามารถรับรองได้หรอกว่าทุกท่านจะโชคดีเหมือนอย่างคู่ผม แต่ผมขออวยพรนะครับ ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งทุกคนต้องผ่านพ้นความทุกข์ไปได้และพบกับสิ่งดีงามครับ...”

จากคุณ : Low profile (Low profile)

ขอบคุณภาพ :  ภาพจาก http://www.thezreview.co.uk/posters/posterimages/i/indecentproposal.jpg
เรื่องจากทางบ้านที่ น่าอ่าน เพื่อนส่งต่อเมล์มาให้

มอบกำลังใจให้คุณเสมอ จากใจวีอาร์ไทย.คอม  เวบไซท์เพื่อคนไทยสุขภาพดีทั้งกายใจ
www.werthai.com  (c) Copyright 2006