กุ้ลิ สวรรค์บนดิน เมืองในภาพวาด
ตอนที่ 21 ถ้ำเงิน

ค่ำแล้ว ดูเหมือนจะประมาณ บ่าย 5 โมงเย็นแล้ว ยังเหลืออีก 1 ทริป คือ ถ้ำเงิน เดินทางออกมาอากาศขมุกขมัว มีหมอกโปรยเหมือนฝนเม็ดเล็กๆ อากาศเย็นทำให้กระจกข้างในเป็นฝ้าหนา ปมใช้มือปาดน้ำจากกระจก เพื่อถ่ายรูปให้ท่านผู้อ่านได้ดูข้างๆ  ทาง (1-12) ที่สวยงามขนาดนี้ให้ชม ภูมิภาคนี้ เต็มไปด้วยเขาหินปูน บางภาพไม่ชัดเจนจากการถ่ายรูปบนรถที่เคลื่อนไหว และแสงที่น้อย ก็ดีนคิดเสียว่าไปดูด้วยกัน ประมาณนี้แหละ คัดทิ้งไปเยอะ ช่วงนี้ เราได้ดู ภาพยนตร์ พากษ์ไทย เรื่องจอมใจบ้านมีดบิน หรือ House of Flying Daggers เป็นภาพยนตร์จีนกำลังภายในลำดับที่ 2 ของผู้กำกับนามระบือ จางอี้โหมว  พล็อตเรื่องที่เรียบนิ่งแต่น่าติดตาม อีกทั้งสีสันและวิวทิวทัศน์ที่งดงามตระการตา เรื่องนี้เราดูหลายครั้งตั้งแต่เริ่มวันนี้ช่วงเช้า หลายคนต้องติดงอม ร้องขอให้ฉายให้จบ การแต่งภาพต่างๆให้ออกมาวิจิตรงดงามเกินความเป็นจริง แต่สวยดี โดยคุณหมา ได้เล่าถึงภาพยนตร์โฆษณาจังหวัด กุ้ยหลิน และเขตปกครองตนเองกวางสี  ซึ่งเดิมเป็นมณฑลกวางสี ข้อแตกต่างระหว่างมณฑลคือ มณฑล นับเป็นจีน ภาคหนึ่ง ส่วน เขตปกครองตนเอง เป็นกลุ่มชุมชนหนึ่ง ไม่ต้องนำภาษีส่งรัฐบาลกลาง ผู้ปกครองสูงสุดเป็นชนกลุ่มนั้น กวางสี เป็นชุมชนของคนกลุ่มน้อย เผ่าจ้วง มีประชากรประมาณ 300 ล้านคน (มันน้อยเหรอเนี่ย? คนไทยทั้งประเทศยัง 65 ล้านคนเอง)  โฆษณานี้ใช้งบประมาณนับพันล้านบาท เล่าถึงจ้วงเผ่าย่อยต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์ และความสวยงามของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรมและเรื่องน่าสนใจมากมาย พร้อมกับฉายหนังนี้ให้ดู สวยมากๆ น่าเสียดายที่ไม่สามารถหาซื้อมาได้ ผู้อำนวยการสร้างคือจางอี้โหมว ซี่งเป็นที่ชื้นชมในฝีมือมาก นอกจากนี้ ยังมีการแสดงกลางแจ้งในแม่น้ำหลีเจียง กำกับการแสดงโดยจางอี้โหมว ที่ใหญ่จนใช้แม่น้ำเป็นเวที ใช้ภูเขาเป็นฉาก ใช้คนกว่า 5,000 คน ในแต่ละฉาก เสียดายที่ระยะนี้งดการแสดง เนื่องจากอากาศหนาวเย็นเกินไปที่จะมีคนดู และคนแสดงไม่สามารถทนความหนาวได้เช่นกัน อดดูเลย เขาบอกว่าจริงๆ แล้ว ทัวร์เราจะได้รับชมด้วยถ้าอากาศอุ่นกว่านี้

 (1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) (9) (10) (11) (12)

มาถึงถ้ำเงินแล้ว ทริปสุดท้ายของวันนี้ ซี่งมีระยะทางเดินชม ยาวถึงประมาณ 3 กิโลเมตร (ไกด์อีกคนบอก 5 กิโลเมตร) ไกด์บอกว่าข้างในอุณหภูมิประมาณ 35 องศา เราก็หัวเราะกัน เพราะระยะทางที่จากรถไปถ้ำ ถอกเสื้อไม่ไหว มัน 1 องศาแล้ว คิดดูเถอะ แล้วถ้ำขลุ่ยอ้อที่เราไปมา ก็ไม่เห็นจะอุ่นเลย โกหกมั้ง พูดเล่นรึเปล่า ผมแค่เอากระเป๋าหิ้วเตรียมไปด้วยเผื่อถอดเสื้อกันหนาวใส่หิ้วได้ เชื่อไว้ก่อน ทางขึ้นประดับโคมแดง(13) ไม่รู้ประดับเป็นปกติรึเปล่า แต่เพื่อนบางคนเล่าว่าอาจจะใกล้ตรุษจีนไม่กี่วันนี้ ให้บรรยากาศจีนๆ ดี ถังขยะครับท่าน (14) เหลียวซ้ายแลขวา มาช้าไปหน่อย ลืมถุงมือ วิ่งกลับไปเอา ที่รถเพิ่งรู้สึกว่าหนาวยะเยือก ไม่มีนางแบบเลย ดูไปก่อนละกัน ไม่ค่อยสวย แต่เขาก็แยกเป็นสองฟาก ไม่ต้องเสียเวลาแยกขยะอีก ข้างๆ ช่วงรอเพื่อนๆ ไปห้องน้ำกันมีระเบียงหิน(15-20) ถ่ายรูปวิวหน้าถ้ำ สวยจริงๆ เหมือนภาพวาดเลย

 (13) (14) (15) (16) (17) (18) (19) (20)

ในถ้ำเงิน ส่วนใหญ่เป็นสีเงิน หินที่นี่มีประกายระยิบระยับของของผลึกคาร์บอนเนต ซึ่งน้ำฝน ละลายหินปูนออกมาทีละน้อยๆ สะสมเป็นผลึก ผมมากับบัส 2 คุณหมารับหน้าที่บรรยายเช่นเคย (21) การถูถ้า เป็นเรื่องของการจินตนาการ ส่วนใหญ่จะชี้ให้ดูว่า ทางนี้ ทางนั้น คล้ายกับอะไร ถ้ำนี้ เป็นถ้าสำหรับท่องเที่ยว ที่จัดทางเดิน เป็นระเบียง ทำด้วยซีเมนต์ ปูด้วยหินอ่อนและหินแกรนิต ประดับเสาหินอ่อน เดินขึ้นทางลาดไม่ชันมาก แม้ไม่แข็งแรง ก็ค่อยๆ เดินขึ้นได้ ไม่เหนื่อย มีจุดชมถ้าเป็นช่วงๆ ภาพที่ถ่ายมา จดไม่ได้ มันเยอะ และค่อนข้างมืด ท่านผู้อ่านลองจินตนนการดูว่าเหมือนไหม ภาพ (22) สองบัณฑิตร่ำสุราบนยอดเขา (ก้อ บอกไม่ได้ว่าบัณฑิตนี่นั่งตรงไหน) โต๊ะอาหาร(23)  แสงเหนือม่วง (24) อันนี้ตั้งเอง พอดีถ่ายตอนไฟดับอัตโนมัติ สาวแม้วชายตา (25 ตรงกลางรูป) ป่าสน (26) รูปนี้ไม่ได้บอก (27-32) เห็นสวยๆ ก็ถ่ายมา รูปสววน้อยในอ่างน้ำ (33) พระพุทธเจ้าเทศนา (34-35) สาธุ เห็นพระพุทธเจ้าไหม ตรงนี้ (36) เป็นข้างทางสวยๆ

(21) (22) (23) (24) (25) (26) (27) (28) (29) (30) (31) (32)(33) (34) (35) (36)

ประมาณ กลางๆ ถ้า มีจุดถ่ายรูปที่มีคนมาออกันเต็ม รอถ่ายรูป รูปละ 125 บาท เรียกว่า ม่านละคร (37-40) รอรับรูปได้เลย ขนาดประมาณ 5*7 นิ้ว กระมัง พร้อมกรอบ พวกเราหลายคนถ่ายรูปที่นี่ (41) เหมือนม่านในโรงละคร สวยมากจริงๆ  ตอนนี้เริ่มร้อนแล้ว ผมถอดเสื้อขนแกะอันแสนจะอบอุ่น ที่กลายเป็นร้อนมักๆ ลงกระเป๋าที่เตรียมมา

(37) (38) (39) (40) (41)

ถัดมาเป็น สีสันแห่งกระจกเงา (42-48) จุดนี้มีถ่ายรูปรับจ้างเช่นกัน ประดับแสงไฟเป็นช่วงๆ ต้องรีบถ่าย เพราะเขาพยายามให้เราถ่ายรูปกับเขา ถ้าไม่ถ่ายก็จะปิดไฟ ตรงนี้มีเงาสะท้อนของน้ำ เหมือนกระจกเงาเมื่อเล่นแสงไฟ สวยอย่างนี้เลย เราอยู่ตรงนี้นานเหมือนกันก่อนเคลื่อนไปจุดสำคัญของถ้ำ อันเป็นที่มาของชื่อของถ้ำ คือถ้ำเงิน (49-50) เป็นบริเวณหินสีขาวโรยตัวลงมาเหมือนน้ำตก ประการผลิกคาร์บอนเนต ระยับดังประกายจากเครื่องเงิน ระหว่างนี้มีหินงอกเหมือนผลของต้นสน (51) แช่อยู่ในน้ำ เราเดินดูความสวยงามผ่านสะพานหินแกรนิต ขึ้นมาข้างบน (52) ความงามของถ้ำเงินที่เปล่งประกายเงิน ยังมีต่อ (52-57) เพราะเป็นหินงอกที่สูงมาก และมีเสาค้ำฟ้าอีกต้น (56-57) เป็นหินงอกหินย้อยที่มาเจอกันตรงกลาง

(42) (43) (44) (45) (46) (47) (48) (49) (50) (51) (52) (52) (53) (54) (55) (56) (57)

เลยมาถึงป่าหิมพานต์ (58) ที่แน่นขนัดด้วยพันธุ์ไม้ สังเกตดีๆ จะมีสัตว์หิมพานต์ด้วย (แต่ผมหาไม่เจอ) แล้วก็ภาพสวยๆ ที่เดินห่างคุณหมาสักนิดฟังไม่ออกว่าชื่ออะไร สวยก็แล้วกัน (60-38) มีหินงอกเรียก ไอสกรีมด้วย (65-66) น่ากินจัง สูงใหญ่ น่าจะมีทอปปิ้งสักนิด1

(58) (59) (60) (61) (62) (63) (64) (65) (66) (67) (68)

นี่คือที่มาของคำว่าหินงอกหินย้อยในภาษาจีน เรียกหินงอกว่า หินหน่อ และเรียกหินย้อยว่า หินนม คลิกดู(69) เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า มีตั้งแต่ 18-80 เลย มาถึงจุดสูงสุดของถ้ำแล้ว นี่เป้นชั้นที่ 3 (สูงเท่าตึก 10 ชั้น หรือมากกว่า) (70-71) ถ่ายลงมาดูเหมือนเหวเลย ตรงนี้ดูไม่ออก (72) เขามีชื่อแหละ ไม่งั้นไม่ส่องไฟ จำไม่ได้อ่ะ เราค่อยๆ ลงมาแล้ว แหงนดูข้างบน สูงอย่างนี้เลย (73-74) ถึงปากถ้าทางออกแล้ว หันไปทางซ้าย (75) หันไปข้างหลัง (76) เราลอดมาหลายจุด จุดสุดท้ายที่มีชื่อ คือสิงโตส่งแขก (77) มองเห็นไหมครับ ตาแดงๆ (มองตั้งนาน) เราได้รับคำเตือนให้ใส่เสื้อให้อบอุ่น ขณะนี้ร้อนมากๆ น้องทรายบอก ไม่ได้นะ ห้ามออกไปเจออากาศเย็น ต้องปรับตัวก่อนข่างนอก ลบ 1 องศา อาจช็อกได้ โอเค ก็ใส่เสื้อ แล้วต้องไปยืนใกล้หน้าถ้า ก่อนออกมาเพื่อปรับร่างกาย เย็นสบายๆ อย่างน้อย 5 นาที ก่อนออกไปด้านนอก โดยมีน้องทราย ควบคุมการปรับตัว ป้องกันไม่ให้เราป่วยนั่นเอง ขอบคุณหลายๆ เด้อ เหลือคนสุดท้ายไม่กี่คน และเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกมาทุ่มกว่าเกือบสองทุ่มแล้ว และไฟภายในก็ค่อยๆ ดับลง ปิดฉากการแสดงของวันนี้

(69) (70) (71) (72) (73) (74) (75) (76) (77)

มาทานอาหารหัน เราไปถึงก่อนเสริฟ มีโอกาสได้ถ่ายบางรูปมาให้ดู (78-79) อาหารที่นี่วันนี้รสชาติจัดจ้านขึ้น (จีดน้อยลง แต่ก็โอแล้ว) จะเห็นว่ามีเบียร์ โต๊ะละ 2 ขวด และเพิ่มได้ เป็นอย่างนี้ทุกมื้อ เนื่องจากคลายหนาวได้ มีแอลกอฮอร์ประมาณ 12% (แล้วแต่ร้าน) ส่วนใหญ่เราก็ดื่มกัน เพราะถูกกว่าโค๊ก แต่ไม่ทำให้เมาหรือมึนเลย คงเพราะเอาไปทำความอบอุ่นในร่างกายแทน ก็เว้นแต่ดื่มเกิน 2 แก้วละก้อไม่รับรอง ขอโทษๆ  แบบว่าหิว หลังจากนี้ไม่ได้ถ่ายรูป คงเข้าใจนะคับ สองทุ่มกว่า และเดินทั้งวัน อิอิ ลืมถ่ายไปเลย   เสร็จแล้วเราก็เข้าที่พัก แล้วออกมาถนนฝรั่ง คงคล้ายถนนข้าวสารบ้านเรา(80-81)  ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง นักท่องเที่ยว และใช้ภาษาอังกฤษ (ค่อยยังชั่ว) ถึงเราจะไม่เก่งอังกฤษ แต่ดีกว่าจีน ที่ได้ไม่กี่คำ และไม่ใช่จีนแต้จิ๋วที่เรานิยมใช้ในไทย ไม่ใช่จีนกลาง ที่ส่วนใหญ่ใช้ แต่เป็นภาษาจีนชนกลุ่มน้อย ไก้ด์สอนแล้ว แต่ตอนนี้คืนอาจารย์ไปหมด วันนี้เป็นวันจันทร์ โล่งอย่างนี้ ดีที่หนาว ยุงไม่บินมาให้ตบ เลือกของกันได้เยอะ ซื้อสารพัด ผมเดินกับพี่อุทัย เจอพวกเราสุภาพสตรี ก็ขอตามไปด้วย เพราะมาม่าซังเยอะ เห็นเพื่อนสาวไปด้วยเธอก็ไม่มาตอแย ของที่นี่ มีทั้งคุณภาพดี และตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย และต้องต่อเยอะๆ ผมไปแอบดูพี่ๆ ดูกระเป๋าที่มีแบรนด์ดังๆ แปะอยู่ ราคาไม่ถูกเลย และต่อรองได้น้อย พอหยิบมาดูก็ต้องวาง เพราะเกรดการเลียนแบบต่ำมาก ไม่ประณีต เลยเดินดูสักพักก็ถึงสุดซอย เจอแต่พวกเรา ส่วนมากซื้อของที่ระลึกกันที่ไม่ต้องคิดเรื่องคุณภาพนัก เพราะเป็นของจีนๆ พี่อุทัยบอกอากาศเย็น ไม่ไหว อยากเข้าห้องน้ำ ไม่ได้หาห้องน้ำ แต่กลับมานอนอุ่นๆ ดีกว่า

(78) (79) (80) (81)


<หน้าก่อน|หน้าแรก|หน้าต่อไป >
ต้องการข้ามไปหน้าอื่น คลิกไปเลือกหน้า ที่สารบัญซ้ายมือ หรือกลับไปเลือกหน้าแรก