กุ้ลิ สวรรค์บนดิน เมืองในภาพวาด
ตอนที่ 22
อำเภอหยางชั่ว

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเยี่ยมเมืองกุ้ยหลินแล้วครับ และเป็นวันที่เราพบกับวิวทิวทัศน์สิงแวดล้อมที่สวยที่สุดของกุ้ยหลิน วันนี้เราพักที่โรงแรมนี้ (1) ชื่อโรงแรม New West Street Hotel หนาวมาก ประมาณ 2-3 องศา หลังอาหารเช้าเรามาถ่ายรูประหว่างรอรถออกเดินทาง นี่คือภาพด้านหน้าของโรงแรม (2-3)  ซี่งเป็นสามแยก มีภูเขาหน่อสวยๆ คาดว่าด้านหน้า หลังประตูนี้จะเป็นสวนสาธารณะ และภาพนี้ เป็นด้านขวามือของโรงแรมดูจากด้านหน้า(4-5) ขณะนี้ เป็นชั่วโมงเร่งด่วน คนกำลังแย่งไปทำงาน จึงเป็นคนเดินทางเยอะแยะ (เห็นรึป่าว) แม๊ ช่างเป็นเมืองที่สงบเงียบอะไรอย่างนี้ วันนี้เป็นวันอังคาร เมืองท่องเที่ยวจึงมีผู้คนแค่นี้เอง โอ้ว! ถังขยะครับท่านผู้ชม (6) อย่าลืมว่าผมเป็นนักสิ่งแวดล้อม เจอถังขยะก็ชอบ น่านสนใจเป็นแบบอย่าง นี่แป็นถังขยะในเมือง จุดเด่นคือ ใช้เป็นป้ายโฆษณาได้ คนจีนนี่อะไรก็ต้องเป็นเงินเป็นทองไว้ก่อน และทุกเมือง ทุกอำเภอ ในเขตเมืองจะเป็นอย่างนี้หมด ง่ายต่อการโฆษณาเก็บเงิน และง่ายต่อการผลิต มาดูคนทำงานกันบ้าง เหลือบไปเห็นสาวจีนน่ารักๆ เลยเก็บเงาเธอมาฝากท่านผู้อ่าน(7) ส่วนใหญ่การแต่กายแฟชั่น จะเป็นทำนองนี้ หมายถึง ดูเป็นสากล ไม่ใช่ชาวบ้านๆ อย่างที่เห็นกันในข่าวหรือในหนัง นี่เป็นรถที่เรานั่งไปทัวร์กัน(8) ตั้งแต่วันแรก พี่นรินทร์ (9) เริ่มตามมาสู้อากาศหนาวๆ ด้วยกัน เลยได้รับเกียรติให้เป็นนายแบบ และพี่อุทัย (10) ช่วยถ่ายให้ผมด้วย(11) เป็นที่ระลึก เห็นภาพก็ขำตัวเอง นี่ไม่ได้เป็นดาราจำเป็นนะคับท่าน หนาวจริงๆ แล้วเราเลยพยายามโพสท์ท่าว่าไม่หนาว (12-19) แต่จริงๆ หนาวมาก และมีหมอกที่เม็ดใหญ่ยังกะฝนโปรยลงมา ลมแผ่วๆ ชอนไชเข้ามาไซ้ร์ซอกคอ โอ้ววว ขอขึ้นไปรับฮีตเตอร์บนรถก่อนละกัลลลล...

(1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) (9) (10) (11) (12) (13) (14) (15) (16) (17) (18) (19)

เพื่อความรวดเร็ว เรามาทางเดิมเมื่อวาน แต่ถึงก่อน จุดเด่นของหยางชั่ว ที่เคยโปรยไว้ตอนก่อน ว่ากุ้ยหลินสวยที่สุดในจีน หยางชั่วสวยที่สุดในกุ้ยหลิน ซื้อไว่เถาหยวน สวยที่สุดในหยางชั่ว และนี่ เรามาถึง ซื่อไว่เถาหยวน เพื่อชมหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยหลายชนเผ่า มี ม้ง  เย้าและจ้วงอีกหลายเผ่า นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีดีกรีถึง 4A ือดีที่สุดของจีน ภาษาไทยเราเรียกที่นี่ว่า เมืองลับแล ซึ่งคุณหมาก็งงว่าทำไมคนไทยเรียกอย่างนั้น (ก็เลยจำมา) มันมีเรื่องเล่าคล้ายกันนั่นเอง (แต่เราก็ไม่เล่า เราจักเล่า เมื่อคุณหมามาเยือนเมืองลับแลของเรา อิอิ) ว่ากันว่า เป็นหมู่บ้านที่ สวยที่สุดในจีนแล้ว ไม่รู้ว่าผมจะถ่ายทอดความสวยงามจริงๆ ให้ท่านทั้งหลายได้ชมกัน มีตำนานว่า ชาวประมงคนหนึ่ง หลงทางไปโผล่ที่เมืองลับแลแห่งนี้ เมื่อเข้าไปในป่าดอกท้อ และหลงไปพบถ้ำ ผ่านถ้ำเข้าไปพบว่าเป็นเมืองที่ สุขสบายกับธรรมชาติสวยงามราวสวรรค์ สวยราวภาพวาด ตัดขาดจากการติดต่อภายนอก ไม่รู้แม้กรูทั่งว่า ภายนอกเปลี่ยนราชวงศ์เป็นยุคราชวงศ์ฮั่นแล้ว 45 ปี และมีความเจริญรุ่งเรืองมากมาย หัวหน้าหมู่บ้านและผู้คนในหมู่บ้าน ได้ต้อนรับและเสวนาทั้งคืนพร้อมการแสดงและข้าวปลาอาหารที่สมบูรณ์ สุรารสเยี่ยม แต่กังวลว่าความส่วนตัวจะถูกล่วงล้ำ ขอร้องว่า อย่าแพร่งพรายให้ผู้ใดทราบว่านี่มีหมู่บ้านอยู่ และอย่าพยายามกลับมาอีก พวกเขาซี่งเป็นทหารลี้ภัยมาต้องการอยู่โดดเดี่ยว ไม่ยุ่งกับภายนอก ชาวประมงก็รับคำ และร่ำสุราอาหาร  จนหลับไป ตื่นเช้าพบว่าตนเองกลับมาที่เรือในแม่น้ำหลี่ (บางตำนานบอกว่า เดินกลับเองและทำเครื่องหมายไว้ตลอดทาง แต่เมื่อกลับมาก็หาไม่เจอ) จากนั้นก็กลับบ้าน ภรรยาคาด คั้นว่าไปค้างคืนที่ไหน เลยต้องเล่าให้ฟัง ภรรยาตื่นเต้นมาก นำเรื่องไปเล่าให้นายอำเภอฟัง นายอำเภอระดมคนไปค้นหากว่า 10 ปี แต่ก็ไม่พบหมู่บ้านที่ชาวประมงยืนยัน แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล่ามานานนับสองพันปี แต่เมื่อความเจริญเข้าถึงในไม่กี่ปีมานี้ การตัดถนนผ่านหน้าหมู่บ้าน  ก็ไม่มีใครหลงอีก ความงามทีแทบไม่เปลี่ยนแปลงกว่าสองพันปี ถูกเปิดเผยให้ชาวโลกรู้ จริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบ บ้างก็ว่า หมู่บ้านเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยว บ้างก็บอกว่าเหลวไหล บ้างก็ว่าเป็นการแสดง (ซึ่งก็มีจริง) อย่างไรก็ตามผมมาดูว่าสวยเหมือนคำอ้างมั้ย ดีกว่า ไปกันครับ

(20) (21) (22) (23) (24) (25) (26) (27) (28) (29) (30) (31) (32) (33) (34) (35) (36) (37)

มาถึงตามธรรมเนียม ก็เข้าห้องน้ำกันก่อน(20-21) ห้องน้ำที่นี่สวยมาก ทำด้วยหินแกรนิต พื้นและผนังเป็นหินอ่อน ติดฮีตเตอร์ อบอุ่นดี (เทียบกับบ้านเราก็เหมือนห้องน้ำติดแอร์) และห้องน้ำโถปัสสาวะมีเซ็นเซอร์ ไม่ต้องเปิดน้ำเอง (เทียบกับบ้านเราเหมือนโรงแรมหรู หรือศูนย์การค้าสมัยใหม่) และไม่เก็บเงิน แม้คนมาใช้บริหารเยอะ แต่ก็ดูสะอาด มีแม่บ้านคอยดูแลตลอด เรามีเวลาสิบนาทีเข้าห้องน้ำ  ให้ดูข้างนอกก้อพอ  ข้างในมีนักท่องเที่ยวเยอะ  เดี๋ยวจะหาว่าตาคนนี้โรคจิต แล้วก็ออกมารอ ตรงนี้เป็นลานที่พวกเรารวมพลกันเพื่อรอเรือนั่งไปชมหมู่บ้าน (22-23) เราจะไปทางเรือกัน ช่วงรอเรามาดูบรรยากาศรอบๆ กัน ตรงนี้เป็นสะพานครับ (24) เรียกกันว่าสะพานแบบจ้วง ชื่อสะพานแห่งลมและสายฝน สะพานนี้เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือเป็นสะพานไม้ มีหลังคาทรงจีน มีที่นั่งข้างทางเพื่อให้ผู้สูงอายุได้นั่งพักได้ตลอดทาง (25) ถ้าเราดูจากข้างหน้า(26)  เหมือนอาคารธรรมดา แต่นัยว่าลงทุนมาก ใช้สถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน โครงสร้างที่แข็งแรงและสวยงามกว่าบ้านทั่วไป(27-29) เนื่องจากสร้างข้ามแม่น้ำ หลังใหญ่โตและทอดยาว และยังมีจัดการพื้นที่ใช้สอยบนสะพานมากกว่าสะพานทั่วไป ทราบว่า สะพานนี้ สร้างมาหลายร้อยปีแล้ว และบูรณะหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ขากลับเราจะได้ชมกัน จุดนี้เราเริ่มเห็นความสวยงามของขุนเขาแล้ว (30-31) เป็นท่าจอเรือบริการทัวร์ทั้งหลาย รอบๆ มีความสวยงามของเชิงสะพาน (32-33) ผมเดินเลียบมาที่ต้นสะพานเพื่อชมความงามของหลิวลู่ลม ต้นหลิวที่ทิ้งใบเกือบหมด เป็นเสน่ห์อย่างยิ่ง ลองเปิดดูแฟ้มภาพของพี่นรินทร์ (34-35) คาดว่าจะสวยงามเอาการเพราะถ่ายไปหลายฉากเหมือนกัน ต้นหลิวกับเรื่อ (35) ได้บรรยากาศจีนๆ เหมือนในหนัง เพียงแต่นี่ไม่ใช่การจัดฉากเหมือนในหนัง แต่เป็นชีวิตจริงของคนที่นี่ แล้วก็ แม๊... ท่านผู้อ่านครับ นึกว่าตู้ยาม ปลาดุก เอ๊ย! ปรากฏว่าเป็นตู้โทรศัพท์ ก็เมื่อแม่นางคนงามยกหูโทรศัพท์มาหนีห่าว (คิดไปเอง น่าจะพูดอย่างนี้มั้ง) แหมๆ น่ารักทั้งสาวจีน น่ารักทั้งตู้โทรศัพท์เลย

 (38) (39) (40) (41) (42) (43) (44)

ก่อนขึ้นเรือ มีการระดมพลโดยต้อนมาถ่ายรูปหมู เอ๊ย รูปหมู่กันก่อน ไม่งั้นรวมกันไม่ได้สักที ไกด์ทั้งสี่ ก็เป็นคนถ่ายให้ (ไกด์ไทย 2 ไกด์จีน 2 เพราะมี 2 บัส) มีตั้งหลายกล้องนะครับ ยิ้มกันเมื่อยเลย แต่ไม่รู้ทำไมผมได้ตั้งสี่รูป แต่ก็คนละท่าเลยให้ดูทั้งหมดเลย แล้วเราก็แบ่งกันลงเรือ(42-43) เรือที่นี่ คล้ายเรือโดยสารของเรา (44) แต่เงียบ ไม่มีกลิ่นน้ำมัน ขับนิ่มนวล เพราะเป็นเรือที่ขับด้วยไฟฟ้า และเครื่องก็เงียบ มีแต่เสียงใบพัดพุ้ยน้ำเหมือนเสียงน้ำไหล ตามมาเลยครับ


<หน้าก่อน|หน้าแรก|หน้าต่อไป >
ต้องการข้ามไปหน้าอื่น คลิกไปเลือกหน้า ที่สารบัญซ้ายมือ หรือกลับไปเลือกหน้าแรก