4 ธันวาคม 2547 ตอนที่ 2/2 |
แล้วก็ออกไปด้านข้าง วัง ไม่แน่ใจว่าเดิมเป็นอะไร ไม่ได้ถามไกด์ แต่ปัจจุบัน เป็นพิพิธภัณฑ์ ให้เวลา 45 นาที ตามสบายจะดูอะไร มีเปิดให้ดู 3 ห้องใหญ่ๆ เขามีทางให้เดินวนทางเดียว จะได้ไม่หลง และลำดับได้ถูก ดีที่เขาให้ถ่ายรูปได้ เลยมีรูปมาฝาก แต่หลายรูปก็เบรอ เพราะบางที่ไม่ให้ใช้แฟลช หรือมีกระจก ใช้แฟลชแล้วสะท้อน ตามผมมาดูลกัน บางส่วน เพราะไม่มีใครอธิบาย ได้แต่แอบฟังไกด์คนอื่นๆ กับอ่านป้ายมาเล่าให้ฟัง
ดูไกลๆ จากวัง เป็นอาคารเป็นอย่างนี้ มีหลายชั้น แต่เปิดให้ชมแต่ชั้นล่าง (รูปที่1) เรียกว่า พิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน (รูปที่ 2-3) หมายถึงแสดงวิถีชีวิตตั้งแต่ชาวบ้านถึงกษัตริย์เลย ตัวอย่างการแต่งตัวของกษัตริย์ (รูปที่ 4) ของขุนนาง (รูปที่ 5) วิถีชีวิตแต่ละกลุ่มของชนบท (รูปที่ 6-7) ในหมู่บ้านทั้วไป และยามมีศึก ได้ซูมรูปมงกุฎกษัตริย์มาให้ดู เพราะได้ยินไกด์กลุ่มอื่นเล่าให้ลูกทัวร์ฟัง (รูปที่ 8) ทองคำ นับว่าเป็นของหายาก กษัตริย์เท่านั้นที่คู่ควร (รูปที่ 8) ส่วนอัญมณี ยิ่งหายาก และแพง โดยเฉพาะพลอยสีม่วง สำหรับกษัตริย์เท่านั้น ส่วนพระราชินี (รูปที่ 9) จะไม่ทรงมากมาย แต่ก็ได้รับสิทธิแต่งได้ขนาดนี้ ส่วนขุนนางและนางใน (รูปที่ 10-11) จะนิยมประดับด้วยการทำผมและหมวกแทน
ต่อมามีการทำกิมจิ (ผักกาดขาวดองแบบเกาหลี) ซึ่งก็เป็นอาหารหลักที่นิยมมากจนถึงปัจจุบัน แสดงกระบวนการทำกิมจิ และของดองต่างๆ สำหรับทำไว้ฤดูหนาว ที่ไม่สามารถปลูกผักสดไว้ทานช่วงหิมะลงได้ (รูปที่ 12-13) จอกจากนั้นก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เด็ก หน้ากาก และอื่นๆ อีก (รูป 14-15) ถึงเวลาแล้ว คนก็ไม่ครบ รอเวลาก็ไม่มา จนไกด์ตัดสินใจไม่รอ เพราะเลยเวลาอาหารกลางวันมาเยอะแล้ว ไปตามได้มาสองคน ยังเหลือเฟ่ง-ซัน สาวจีน ซึ่งน่าจะหลง ผมเลยอาสาไปตาม พบว่าคุยต้ออยู่กับคนจีน ที่เพิ่งพบกัน ที่นี่ โมโหเลยว่าไปเล็กน้อย ทำไมไม่รักษาเวลา เธอบอกไม่รู้นี่ว่าจะไปเวลาไหน แต่ก็แยกเดิน ไม่ถามใคร ไม่รู้เหรอว่าทุกคนเป็นห่วง รอคนเดียว นี่ไก้ด์ก็ทิ้งแล้วนะ เธอก็ทำท่าจะร้องไห้ เสียเวลาไปราว 45 นาที ก็รีบจูงออกมา
เราไปต่อกันที่ โซลทาวเวอร์ หอคอยดูวิวบนภูเขากลางกรุงโซล ฝนตก ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง หนาวมาก ถ้าอากาศเย็นกว่านี้เล็กน้อยจะเป็นหิมะแล้ว ก็เลยเห็นว่า เหมือนอยู่ในสายหมอกเลย (รูป 16-17) ฝนพรำๆ หมอกคลุม บ้านเราเวลาฝนตกไม่ค่อยเห็นว่ามีหมอกฟุ้งอย่างนี้ ใกล้ๆ ก็มีหอสื่อสาร สถานีทวนสัญญาณ (รูปที่ 18 ) พวกเรารอขึ้นหอกันข้างล่างระหว่างไกด์ไปซื้อตั๋ว มันสดชื่นดีและหนาวมาก (รูป 19-20) ขึ้นไปข้างบน มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก คล้ายเมฆนั่นแหละ แต่มันลอยต่ำมาก ผ่านไปเกือบ 10 นาที ก็ไม่เห็นอะไร จนเราเซ็ง เลยต้องใช้วิธีไหว้ของฟ้าดิน อธิษฐานขอให้ฟ้าเปิด (เราคงไม่ได้มาดูบ่อยๆ สักนิดเถอะ สาธุ) ฟ้าก็เมตตา เปิดให้ชมสัก 2 นาที (รูปที่ 21-27) เราเลยรีบถ่ายรูปกันใหญ่ สวยเหมือนภาพวาด แล้วก็ไม่เห็นอีก ก็มีเวลาถ่ายรูปเป็นหลักฐาน (รูปที่ 28) และซื้อของที่ระลึกบนหอคอย ซึ่งก็แพงกว่าข้างล่าง เป็นธรรมดา แต่ก็รับได้ ไม่แพงมาก (รูปที่ 29)
(16) (17) (18) (19) (20)(21) (22) (23) (24) (25) (26) (27) (28)(29) (30) (31)
แล้วก็เดินลงมาตามไหล่เขาเพื่อไปที่ลานจอดรถราว 400 เมตร สวยดี อากาศชื้นๆ เย็นๆ (หนาวนั่นแหละ) (รูปที่ 30-31) ไปทานอาหารกลางวันมื้อพิเศษ คืออาหารไทยจีน เขาบอกว่าอร่อยมาก เราขึ้นไปชั้นสอง เป็นร้านที่แต่งแบบจีน (รูปที่ 32) ผนังที่มองลงมาชั้นล่างเป็นตู้ปลา (รูปที่ 33-34) น่ารักมาก ไปเคาะดูก็ไม่ตกใจ มันคงชินชาพวกแขกที่รบกวานมันบ่อยๆ และอาหารที่สั่งไว้แล้วก็ทยอยมา (รูปที่ 35) มีต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวานไก่ใส่แครอท รสชาติจืดๆ รสชาติเพี้ยนๆ ไม่รู้ใส่เครื่องเทศอะไรเพิ่มออกจะเป็นแบบอาหารอินเดีย คงปรับให้ถูกลิ้นคนที่นี่แต่ก็อร่อยดี ทุกคนบ่นเผ็ด ผมบอกว่าอย่างนี้บ้านผมเรียกว่าจืด แล้วก็อาหารจีนมีพวกไข่เจียว ที่รสชาติไม่เหมือนบ้านเรา ปลาเทมปุระ ผัดถั่วงอก ผัดเนื้อ อร่อยทุกรายการ ชอบกันถ้วนหน้า แม้ว่าจะจืดไปหน่อยสำหรับคนไทย ไกด์บอกเจ้าของร้านว่ามีคนไทยมาทานด้วย เจ้าของร้านวิ่งออกมาทักทายเลย ผมชมไปว่า อาหารอร่อยมาก หายคิดถึงบ้านเลย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พูดไทยได้ด้วย เคยมาอยู่ประเทศไทย ชอบอาหารไทย เลยหุ้นกับเพื่อนคนไทยเปิดร้านอาหารไทย เจ้าของร้านเป็นลูกครึ่งจีนเกาหลี เลยมีอาหารจีนด้วย
ต่อด้วยไปเดินตลาด หนำเดี๊ยบมฺ ส่วนมากเป็นของใช้ เสื้อผ้า คล้ายจตุจักรบ้านเรา แต่ไม่เป็นระเบียบเท่า ออกจะเป็นตลาดแบกะดินเสียเยอะ (คล้ายตลาดนัด) มีของที่ระลึก ที่ราคาถูก คุณภาพก็ลดตามราคา และยังต่อรองได้ 50-60% ของให้ต่อรองเถอะ ลดได้แน่ ไกด์บอกใต้ต่อ ครึ่งหนึ่งไว้ก่อนเลย ที่เกาหลีเขาตั้งราคาเผื่อต่อรองอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะลดได้ประมาณ 10-30% ก็ซื้อกันไม่มาก ปัญหาคือขากลับเราขนของขึ้นเครื่องเพียง 1 ชิ้น ไม่เกิน 20 กิโลกรัม ขามาก็เกินแล้ว มีมองโกเลีย 2 คน ซื้อกระเป๋าใหม่คนละใบ แต่ก็ไม่ซื้ออะไรอีก คงวางแผนไปใส่กลับ รอที่จุดนัดพบนานก็ยังไม่ไปไหนต่อ ปรากฏว่า ดอกเตอร์เวียดนามหายไป ทำให้อดดูละคร และเลทอีก ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ไกด์เลยต้องเป็นคนหา และโทรให้ผู้ประสานงานโครงการของคอยก้าช่วยพาพวกเราไปดูละคร
เราไปดูละคร ตลก วัฒนธรรม ไม่ได้ดูช่วงแรกเลย เพราะช้าไปประมาณชั่วโมง เป็นละครที่พูดปนกันทั้งเกาหลี และอังกฤษ ทำให้ฟังรู้เรื่อง สมมุติเป็นเรื่องในห้องครัวของโรงแรมใหญ่ พ่อครัวแม่ครัว ร้องเพลงจีบกันด้วยการใช้อุปกรณ์ในครัว ตี เคาะ เป็นทำนองเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่แพ้เครื่องดนตรีดีๆ ส่วนที่โดดเด่นคงเป็นกลองที่ตีได้อย่างไม่มีที่ติ เลียนแบบการตีกลองของเกาหลี แต่ใช้ถังน้ำ แทนกลอง เวลาตีน้ำก็กระเด็นออกมาตามแสงเสียงสี สวยมาก เสียดายไม่ให้ถ่ายรูป เลยเอารูปในหนังสือ Korea Travel Guide มาให้ดูสัก 2 รูป (รูปที่ 36-37 ขออภัย รูปไม่คมชัดมากนัก) เขาเต้น ร้อง เคาะ เตะ ตี ด้วยอุปกรณ์ในครัว ออกมาก็มืด ไกด์มาสมทบ โดยนั่งแท็กซี่มาเอง ไม่เจอคนเวียดนาม ผมบอกว่า กลับเถอะ ไม่ต้องห่วง เขาเป็นดอกเตอร์ และคล่องภาษาอังกฤษดี คงกลับเองไม่ยาก เลยกลับกัน
ทานข้าวเย็นที่ภัตตาคารจีนในโรงแรม คอง-ซัน ก็เดินเข้ามาทานหน้าตาเฉยๆ เหมือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราเลยถามหันให้หายข้องใจหน่อย ก็ตอบว่า ก็กลับเองได้นี่ ไม่เห็นต้องรอเลย พวกเราที่ฟังก็โกรธกันมากเพราะทำให้เกิดผลกระทบเยอะ ระดมคำถาม (คล้าย ดุ นั่นเหละ) และบอกว่า ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าทำอะไรลงไป ทุกคนเป็นห่วง หากัน เสียเวลากัน เสียค่าแทกซี่ และไม่ได้ดูละครกัน เพราะเลยไปเกือบชั่วโมง มากับไกด์ ลูกทัวร์จะหายไม่ได้ คนรอกัน 12 คนในรถ เวลาเลทไปหมด ด้วยความฉลาดก็ทำเป็นบอกว่าไปซื้อของเล่นลูก หลง เลยกลับเอง ไม่มีเบอร์โทร ติดต่อใคร อ่ะ โมโหกัน ทานข้าวไม่ลงเลย แต่ยังไงก็ตาม เราก็นัดกันไปเที่ยวต่อพรุ่งนี้