21 พฤศจิกายน 2547 |
วันอาทิตย์กะจะตื่นสายๆ แต่ก็สายได้แค่ 8.30 น. เพราะ บุน-ซัง โทรมาปลุก ชวนไปซื้อของกันโดยจักรยาน อาบน้ำ กินข้าว เสร็จราว 9 โมง จาง-ซัน เพิ่งลงมากินข้าว นัดใหม่ไป 9.30 ก็ดี มีสาวๆ ไปด้วยจะได้มีชีวิตชีวา ก็ไปรอที่ลอบบี้ และหาข้อมูลจากน้องๆ ที่เป็นรุ่นมาฝึกก่อนนี้ (รุ่นพี่ แต่อายุน้อยกว่า) แนะนำว่าที่น่าสนใจคือร้านยามาดะ เป็นร้านขายของอิเล็คทรอนิคส์ใหญ่ของเมือง และไม่ไกล คล้ายกับพันธ์ทิพย์ หรือ เดอะมอลล์บ้านเรา อีกร้านก็เป็นร้านร้อยเยน คือของทุกอย่างราคาร้อยเยน (ประมาณ 37 บาท) น่าสนๆ แต่ไปไม่ถูก น้องเขาก็วาดแผนที่ให้ ง่ายไป คือไปตามถนนใหญ่สายหลัก เป็นถนนกว้างๆ แต่อ้อมไปมา ฟังดูน่าหลง เลยอาสาจะไปส่ง เกรงใจจังเลยแต่ก็ดี เพราะน้องเขาจะเลยไปอีกที่และเป็นทางผ่าน รอนาน เลยออกมาถ่ายรูปพวกนี้มาให้ดูอาคาร ด้านหน้าเป็นรูปของต้นเมเปิล (รูปที่1) ต้นเดียวกับวันแรกที่มาเขียวอยู่เลย สัปดาห์เดียว แดงไปทั้งต้นแล้ว รูปต่อมา(รูปที่ 2) เป็นรูปต้นไม้ที่ปลูกไว้ข้างทางเข้าอาคารที่พัก พวกสน และซากุระที่ยังไม่มีดอก และดอกนี้ (รูปที่ 3) ที่รั้วริมหน้าต่างห้องพักของผม ที่บอกว่า บานสะพรั่งเฉพาะริมหน้าต่างผม ให้ดูใกล้ๆ
(1) (2) (3) - คลิกทีรูป เพื่อดูรูปใหญ่ -
รอจน 10 โมง สองสาวจีนยังไม่มา เริ่มหงุดหงิดเล็กๆ คุณโหน่ง คุณเฒ่า รุ่นพี่จากไทยเลยไปก่อน เพราะไม่มีเวลาแล้ว เรารอสองสาวจีน มากับคุณ ผาง-ซัน ที่มาฝึกที่นี่ 10 เดือน คล่องแล้ว ไปบ่อย เลยไปด้วยกันทางลัด เรายืมจักรยานจากไจก้าคนละคัน ปัญหาคือคุณ จาง-ซัน ขี่จักรยานไม่เป็น แต่คนน่ารัก ทำไปไม่เป็นไม่น่าเกลียด เลยซ้อนท้าย บุน-ซัง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บอกว่าเป็นคนโชคดีที่สุดวันนี้ แต่สักพักเอง ไม่ถึง 10 นาทีก็บ่นว่าหนักจังเลย ผมเลยแซวว่า คนโชคดีก็เหนื่อยหน่อยอย่างนี้แหละ
ขี่จักรยานมาลัดเลาะตามทุ่งนาญี่ปุ่นนี่เป็นลอนเป็นเนิน สวยดี แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูเพราะต้องขี่จักรยานเอง ออกมาสักพัก 2 หนุ่มมาเลเซียก็ตามมา แต่ไม่ทัน หอบแฮกๆ เป็นธรรมดาของวัย ถึงร้านยามาดะก่อน (รูปที่ 4) เวลา 10.30 น. เป็นร้านใหญ่ มีบริเวณกว้าง 2 ชั้น ขายชั้นบน ชั้นล้างและลานกว้างจอดรถ จักรยานที่นี่ เวลาซื้อมาจะมีกุนแจล๊อกล้อหลัง ล๊อกแล้วจะไม่หาย (จริงหรือนี่? ก็เขาบอกอย่างนั้น) ก็ล๊อกไว้จอดใกล้ๆ ทางเข้า นัดกันว่าจะเดิน 2 ชั่วโมง คือออกจากที่นี่ราว 12.30 น. แต่เดินไป 40 นาทีก็ทั่วถึงแล้ว เจอพรรคพวกหลายคนที่อบรมในไจก้าทั้งโปรแกรมเดียวกันและโปรแกรมอื่นๆ มีของน่าสนใจเยอะ แต่ไม่มีอะไรน่าซื้อ ของไทยเราถูกกว่าทุกอย่าง เราเน้นราคา อิอิ ผาง-ซัน ได้กล้องดิจิตอลของโซนี่รุ่นใหม่ 5.1 ล้านพิกเซล จอกว้าง 2.5 นิ้ว เครื่องบางดี ราคาน่าพอใจของเธอ ซึ่งทุกคนก็สนับสนุนให้ซื้อ เพราะอยู่อีกตั้งหลายเดือน จะได้ไว้ใช้เก็บประสบการณ์ในญี่ปุ่น แต่คนอื่นก็บ่นเรื่องแพงเลยไม่ได้อะไร ผมก็มาเดินเล่น ข้างนอกฝนตกปรอยๆ จนฝนซา เลยได้ดอกไม้ 2 รูปนี้มาฝาก (รูปที่ 5-6) เห็นน่ารักดี ดอกจริงกว้างสัก 1 นิ้ว ปลูกในกระถางข้างถนนในลานจอดรถ
12.30 น. นึกว่าจะได้ทานข้าว เลยไปสักหน่อย 2 ซอย เป็นร้าน 100เยน (รูปที่ 7) ผางซัน ก็นำไปชอปต่อโดยไม่ถามว่าหิวรึยัง สินค้าที่นี่จัดเป็นชุดๆ หรือชิ้นๆ ที่ไม่ติดราคาหมายความว่าราคา 100 เยน(ประมาณ 37 บาท ขณะนั้น) และบางชิ้น ติดราคาชัดเจน ก็ตามราคานั้น ที่นี่ซื้อกันทุกคน เพราะราคาถูกใจกว่าคุณภาพ ส่วนใหญ่ที่ซื้อเป็นของที่ระลึกไว้ฝากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ประเทศตัวเอง ผมซื้อถุงสุญญากาศสำหรับPack ของ ชอบมาก เห็นในโฆษณาราคากว่า 1,000 บาท ซื้อได้แค่ 37 บาท จะได้แพ็คของกลับให้เล็กลงโดยไม่ต้องหากระเป๋าเพิ่ม ซื้อสมุดโน๊ตจดเล็คเชอร์ที่เรียน-อบรม ซื้อริบบิ้นทอง เพื่อติดของที่ระลึกให้ไจก้า และซื้อกระดาษญี่ปุ่นมีลายซากุระพิเศษสำหรับพับนก และโค๊ก 1 ขวด เพราะหิวทั้งข้าวหิวทั้งน้ำ ส่วนของที่ระลึกยังไม่ได้ซื้อ มีแต่ของหนักเทอะทะ แล้วมานั่งดื่มโค๊กพอหายหงุดหงิดหน้าร้าน จนบ่าย 2 ก็พากันไปกินข้าว ปั่นจักรยานกลับมาทางเดิมแต่ยังไม่ถึงยามาดะ ร้านนี้เป็นร้านโปรดปรานของ ผาง-ซัน (รูปที่ 8) เราสั่งอาหารแบบปิ้งย่างแบบญี่ปุ่น (รูปที่ 9) ทานกับข้าวญี่ปุ่น และซอส วาซาบิ อะไรพวกนี้ ตามด้วยผลไม้ บรรยากาศก็แบบญี่ปุ่นๆ ดี ละเลียดเป็นชั่วโมง แล้วถ่ายรูป หน้าร้าน ให้ดูกลุ่มที่ไปด้วยกัน และจักรยานแบบนี้แหละที่ปั่นมากัน (รูปที่ 10) ก็มี เล็ก-ซัน (ผมเอง) จาง-ซัน บุน-ซัง ผาง-ซัน และ เฟ่ง-ซัน และฝั่งตรงข้าม เป็นสวนป่าสาธารณะ(รูปที่ 11) สังเกตว่ามีไชร์เกต ซุ้มประตู เป็นสัญลักษณ์ของชินโต เอกลักษณ์ของญี่ปุ่น เดิมใช้เป็นประตูเข้าวัดของศาสนาชินโต ต่อมากลายเป็นของประดับสวน หรือแทนศาลเจ้า ศาลเจ้าที่
จากนั้นสาวๆ ก็กลับไปชอปต่อกันที่ร้านร้อยเยน คราวนี้แกร่วอยู่จนราว 16.00 น. เริ่มมืดแล้ว บ้านเราถ้าสี่โมงเย็นนี่แดดยังแรงอยู่เลย เลยไปถาม จาง-ซัน ตรงๆ ว่าตกลงที่ว่าจะไป ปาร์ค ไปกันไหม ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเดินชอปมาทั้งวัน และเริ่มเหนื่อยแล้ว ก็รีบซื้อกันอีก 30 นาที 16.30 น.มืดสนิท ปั่นไปอีก 20 นาที ถ่ายรูปได้ แต่ไม่สวยเพราะมืด เลยขอไม่เอามาให้ดู ก็เปลี่ยนที่ออกกำลังกายสวยดีเป็นสวนสาธารณะกว้างสัก 30 ไร่ (กะด้วยตา) กลับมาคืนกุนแจรถ เจอคุณ ดร.โหน่งคนสวย และคุณเฒ่า ชวนไปกินลาบปลากับท้าวพรหมา และท้าวแสนเมือง (ท้าว ภาษาลาวแปลว่า คุณ) คนลาวที่มาอบรมด้านวิศวกรรมที่ไจก้า วันนี้เลี้ยงฉลองจบการอบรมอันยาวนานหลายเดือนของเขา ทำกับข้าวเลี้ยง เขาพักกันนอกเมือง ปั่นจักรยานไป ไกลมาก ราว 30 นาที กลัวหนาว เอาหมวก ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว 3 ตัว ถุงมือหนัง เหงื่อโชคเลย ไปถึง 6 โมงเย็นนัดสี่แยก ก็ไม่เจอ วนไปวนมาไม่เจอ ราว 30 นาที ก็กลับ เป็นบ้านเราคงโทรหากันได้ ที่นี่ไม่มีใครใช้มือถือ สี่อสารกันไม่ได้ เพราะคนละระบบกับประเทศไทย ก็กลับ นึกเสียว่า เล่นกีฬา เหนื่อยมาก กลับมาทานเย็นที่โรงอาหาร TBIC (Tsukuba International Center ) เหมียนเดิม นึกว่าจะไดทานลาบปลาลาว คุณโหน่งขอโทษขอโพยใหญ่ ผมบอกว่าขอบคุณต่างหาก สนุกดีออก ได้เหงื่อดีด้วย ทำให้ทั้งสองสบายใจขึ้นและหายโมโห ทานข้าวได้ เจอโตโต้-ซัง (ฟิลิปินส์) ที่ห้องอาหาร นัดไปคาราโอเกะ จองห้องไว้แล้ว เพราะพวกเราคงได้ร้องวันเดียว ว่าจะ ซัก-รีด ผ้าเลยไม่ได้ทำ ร้องคาราโอเกะ สนุกมาก ต่างคนก็มีแผ่นภาษาเขา ที่นี่มีฟิลิปินส์ จีน ไทย เวียดนาม ญี่ปุ่น อังกฤษ ก็สารพัด ทุกคนก็เลือกเพลงเพราะที่สุดมาร้อง แต่ผมว่าตลกดี เพราะเราไม่เข้าใจ เสียดายที่มาเลเซีย 2 คน ไม่มา ไม่รู้ว่าโกรธที่โดนเราทิ้งเมื่อกลางวันรึเปล่า ที่ไม่รอเขาปั่นจักรยานไม่ทัน แต่โตโต้-ซัง บอกว่าทั้งสองทราบแล้ว ขอตัวเพราะเหนื่อยมาก อยากนอน เสียดายไม่มีภาษามองโก ภาษาอุสเบกิสถาน แต่ก็ร้องภาษาจีน และอังกฤษได้ และมองโก ร้องสด ไม่ใช้คาราโอเกะ
สี่ทุ่ม หมดเวลาคาราโอเกะ กลับมาอาบน้ำและรีบนอน เพราะวันนี้เหนื่อยมากๆ พรุ่งนี้เจอกันใหม่ครับ